เซินเจิ้นประเทศจีน21เมษายนพ.ศ. 2566– ปี พ.ศ. 2566นับเป็นอีกช่วงวาระสำคัญต่อการพัฒนาและเติบโตของหัวเว่ย พร้อมกับคำถามที่ว่า “หัวเว่ยจะสร้างโอกาสของการเติบโต พัฒนาความสามารถในการรับมือกับความท้าทายจากการพัฒนาต่างๆ รวมไปถึงเพิ่มข้อได้เปรียบที่แตกต่างได้อย่างไรบ้าง” ภายในงานประชุม Huawei Global Analyst Summit (HAS) ประจำปีพ.ศ.2566 ซึ่งจัดขึ้นในเมืองเซินเจิ้น สาธารณรัฐประชาชนจีน นางสาวซาบรีนา เมิ่ง ประธานกรรมการหมุนเวียนตามวาระ และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ปรากฏตัวพร้อมเผยวิสัยทัศน์ต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกหลังจากเข้ารับตำแหน่งประธานกรรมการหมุนเวียนตามวาระ
ซาบรีนา เมิ่ง เผยการเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีดิจิทัลและความท้าทายด้านAIภายในงานประชุมสุดยอดประจำปี ครั้งที่ 20 ของหัวเว่ย
งานประชุมHuawei Analyst Summit ครั้งที่ 20 ดึงดูดผู้เข้าร่วมมากกว่า 1,000 คน ซึ่งประกอบไปด้วยนักวิเคราะห์อุตสาหกรรม นักวิเคราะห์ทางการเงิน ผู้นำทางความคิด และสื่อมวลชนจากทั่วโลก โดยนางสาวซาบรีนาได้ขึ้นกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “เดินหน้าเติบโตสู่อนาคตแห่งดิจิทัลไปพร้อมกัน” (Thriving Together for a Digital Future” พร้อมเผยว่าการเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีดิจิทัลได้นำมาซึ่งโอกาสสำหรับอุตสาหกรรม โดยปัจจุบันมีรัฐบาลกว่า 170 ประเทศ ที่มีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ด้านดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรม และคาดว่าภายในปี พ.ศ.2569 จะมีเม็ดเงินค่าใช้จ่ายในด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลจากทั่วโลกทะลุ 3.41 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
เพื่อรองรับโอกาสที่เกิดขึ้นนี้ หัวเว่ยจะยังคงเดินหน้าส่งเสริมการลงทุนด้านเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ การประมวลผล การจัดเก็บข้อมูล และเทคโนโลยีคลาวด์ เพื่อสร้างรากฐานด้านดิจิทัลที่แข็งแกร่ง โดยหัวเว่ยจะยังคงมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาด้านซอฟท์แวร์พื้นฐาน ควบคู่ไปกับการสำรวจโอกาสของการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลในอุตสาหกรรมอื่นๆ เพื่อให้การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นมีประสิทธิภาพสูงสุด
นอกจากนี้ นางสาวซาบรีนายังกล่าวเน้นถึงพันธกิจของหัวเว่ยในการส่งมอบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่มีสถาปัตยกรรมโครงสร้างที่เรียบง่าย มีคุณภาพสูง และให้ประสบการณ์การใช้งานที่เหนือกว่าแก่ลูกค้าในราคาต่ำที่สุด โดยหัวเว่ยมุ่งมั่นที่จะให้ความช่วยเหลือแก่หน่วยงานและองค์กรต่างๆ ตลอดการเดินทางสู่ยุคดิจิทัล ซึ่งประกอบไปด้วย 4 ระยะ ได้แก่ การปรับปรุงการดำเนินงานให้เป็นดิจิทัล การสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัล การสร้างความอัจฉริยะด้วยแพลตฟอร์ม และการใช้ประโยชน์จากความอัจฉริยะผ่านทางแอปพลิเคชันต่างๆ ซึ่งนางสาวซาบรีนายังได้เน้นย้ำว่าถึงเวลาแล้วที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายจะเดินหน้าเพื่อเติบโตอย่างรุ่งเรืองสู่อนาคตแห่งดิจิทัลไปด้วยกัน
ขับเคลื่อนด้วยกลยุทธ์ ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี
ภายในงานประชุม Huawei Analyst Summit ประจำปี พ.ศ. 2566 หัวเว่ยได้เผยถึงสาระสำคัญ 3 ประการที่กลั่นกรองมาจากประสบการณ์กว่า 10 ปีในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล
ประการแรก กลยุทธ์คือหัวใจสำคัญ หัวเว่ยย้ำว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่ยังหมายถึงการวางแผนกลยุทธ์และการเลือกประยุกต์ใช้ ความสำเร็จในการเดินทางเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล จะต้องขับเคลื่อนด้วยกลยุทธ์ที่วางแผนมาเป็นอย่างดี โดยมีเทคโนโลยีเป็นตัวนำพาไปสู่เป้าหมายนั้น
ประการที่สอง ข้อมูลคือรากฐานสำคัญ หัวเว่ยเน้นย้ำถึงความสำคัญของข้อมูลในกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล ข้อมูลยิ่งมีค่าเมื่อเกิดการเคลื่อนย้ายของข้อมูลทั่วองค์กร และการควบคุมดูแลข้อมูลอย่างเป็นระบบยิ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อความสำเร็จของการทำการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล การบูรณาการข้อมูลจากหลายๆ มิติ จะยิ่งเพิ่มมูลค่าและความเข้าใจเชิงลึกให้กับองค์กร
ประการสุดท้าย ความเป็นอัจฉริยะคือจุดหมาย หัวเว่ยเผยว่าข้อมูลจะเป็นตัวนิยามคำจำกัดใหม่ของความมีประสิทธิผล การปรับปรุงกระบวนการทำงานให้เป็นดิจิทัลและการสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลช่วยให้องค์กรสามารถล้างทำความสะอาด ร่างภาพ และรวบรวมข้อมูลเอาไว้ด้วยกัน ซึ่งเป็นรากฐานไปสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ส่วนการนำระบบอัจฉริยะมาใช้จะทำให้สามารถเรียกใช้ข้อมูลได้ทันทีตามความต้องการ ทั้งยังช่วยย่อยข้อมูลให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น และสามารถนำข้อมูลนั้นไปดำเนินการต่อได้ นับเป็นการยกระดับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลขึ้นอีกระดับ
ทั้งสามประการนี้คือแนวคิดเชิงกลยุทธ์ ซึ่งเป็นรากฐานและแนวทางสำหรับการดำเนินการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของกลยุทธ์ การควบคุมดูแลข้อมูล และการนำความอัจฉริยะมาใช้เพื่อสร้างความสำเร็จให้กับการเดินทางเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล
การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลไม่ใช่“โซลูชันเดียวแบบเหมาโหล” สำหรับทุกองค์กร
นอกจากนี้ หัวเว่ยกำลังเดินหน้าพัฒนาแนวทางที่หลากหลายในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิผลการดำเนินงาน ด้วยการจัดหาโซลูชันเฉพาะที่เหมาะสมสำหรับอุตสาหกรรมนั้นๆ ซึ่งหัวเว่ยและพันธมิตรได้ร่วมกันพัฒนาและกำหนดมาตรฐานสำหรับใช้ในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลมากกว่า 100 มาตรฐาน ครอบคลุมอุตสาหกรรมต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทซิตี้ การเงิน พลังงานไฟฟ้า ทางหลวง การบิน และสาธารณสุข เป็นต้น
ภายในสิ้นปี พ.ศ.2565ที่ผ่านมา หัวเว่ยได้รับเลือกให้เป็นพันธมิตรด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลจากสภาเมืองต่างๆ กว่า 700แห่ง และบริษัทระดับFortune Global 500 อีก 267 บริษัททั่วโลก ตอกย้ำถึงความครอบคลุมระดับโลกและความเชี่ยวชาญในการสนับสนุนโครงการด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลต่างๆ
สำหรับในประเทศไทย หัวเว่ยได้รับเลือกให้เป็นพันธมิตรด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลจาก9 บริษัทในกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่สุด10อันดับแรกของประเทศในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา สำหรับในปี พ.ศ.2566นี้ หัวเว่ยจะมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสามารถของพันธมิตร และจะเดินหน้าสนับสนุนแนวทางที่จะช่วยที่ส่งเสริมการสร้างผลกำไร คุณธรรม ความโปร่งใส และความยั่งยืนให้กับพันมิตร โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหารของหัวเว่ยในประเทศไทยได้ประกาศเน้นย้ำพันธกิจของหัวเว่ยภายในงานประชุมพันธมิตรในประเทศไทย ประจำปี พ.ศ.2566ว่าจะทำงานร่วมกับพันธมิตรอย่างใกล้ชิดเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้อต่อการเติบโตร่วมกัน และจะช่วยขับเคลื่อนความสำเร็จทางธุรกิจให้กับลูกค้าด้วยเช่นกัน
ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของหัวเว่ยในการประสานงานร่วมกับพันธมิตรและการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจเชิงบวกเพื่อสนับสนุนความตั้งใจในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลในทั่วทุกมุมโลก รวมถึงในประเทศไทย
อีโคซิสเต็มบุคลากรด้านดิจิทัลเป็นสิ่งจำเป็นต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล
ขณะที่การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลกำลังเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว บุคลากรที่มีทักษะเฉพาะด้านยิ่งเป็นที่ต้องการ แรงงานทักษะสูงและความเปิดกว้างคือรากฐานของการเติบโตและพัฒนา โดยหัวเว่ยเห็นความสำคัญของการจัดหาแรงงานทักษะสูงเพื่อแก้ปัญหาความท้าทายของอุตสาหกรรมและขับเคลื่อนการพัฒนาของประเทศ
นางสาวซาบรีนาได้เปิดเผยถึงความมุ่งมั่นของหัวเว่ยในการสร้างอิโคซิสเต็มบุคลากรด้านดิจิทัลในสาขาต่างๆ โดยผ่านโครงการICT Academy โครงการประกวดแข่งขัน และโครงการ Seeds For the Future Program 2.0 เพื่อบ่มเพาะผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล เป็นต้น โครงการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อให้นักเรียนได้เข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลผ่านการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง พร้อมทั้งสร้างกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลรุ่นใหม่ให้กับอุตสาหกรรม
โครงการ Seeds for the Future ถือเป็นโครงการหลักในด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ของหัวเว่ย ซึ่งก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2551 และเป็นโครงการด้าน CSR ที่สำคัญที่สุดและดำเนินการมาอย่างยาวนานที่สุด โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อบ่มเพาะผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลในประเทศต่าง ๆ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการสร้างชุมชนดิจิทัล และฝึกทักษะด้านดิจิทัลให้แก่นักศึกษาและเยาวชน
สำหรับในประเทศไทย หัวเว่ยได้จัดตั้งโครงการHuawei ASEAN Academy ขึ้นพร้อมทั้งพัฒนาหลักสูตรที่ครอบคลุมทั้งการสร้างผู้นำ การฝึกทักษะ และความรู้ทั่วไป สถาบันแห่งนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลที่สอดคล้องกับแนวทางการส่งเสริมด้านดิจิทัลตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ทั้งนี้ หัวเว่ยมีเป้าหมายที่จะฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลจำนวน 100,000 คนภายในระยะเวลา5 ปี และขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านการฝึกฝนผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน
พันธกิจเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของหัวเว่ยในการบ่มเพาะและพัฒนาผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลทั้งในระดับโลกและระดับท้องถิ่น เพื่อสนองตอบความต้องการของยุคที่การเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลกำลังดำเนินไปอย่างรวดเร็ว และเพื่อเป็นอีกหนึ่งกำลังในการขับเคลื่อนการเติบโตให้กับอุตสาหกรรมและชุมชนในท้องถิ่น
อุตสาหกรรมไอซีที การเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล และการพัฒนาความเป็นอัจฉริยะกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ในเชิงเทคโนโลยี
ดร. โจว ฮอง ประธานสถาบันการวิจัยเชิงกลยุทธ์ของหัวเว่ย ได้เปิดเผยว่าในกระบวนการขับเคลื่อนเข้าสู่สังคมอัจฉริยะ ความต้องการข้อมูลอาจเพิ่มขึ้น 100 เท่า หรือ 1,000 เท่า หลายๆ ทฤษฎีและเทคโนโลยีในปัจจุบันไม่สามารถนำไปต่อยอดเพื่อสนับสนุนการพัฒนาในอนาคตได้ “หัวเว่ยสนับสนุนนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนโดยสมมติฐานทางวิทยาศาสตร์และวิสัยทัศน์ทางธุรกิจ ในด้านการสื่อสาร หัวเว่ยกล้าสำรวจเงื่อนไขและสถานการณ์การใช้งานที่แตกต่าง ในด้านระบบประมวลผล หัวเว่ยสร้างความชัดเจนให้กับความหมายของปัญญาประดิษฐ์ พร้อมทั้งปรับปรุงความแม่นยำ ความสามารถในการปรับตัวให้เหมาะสม และมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม”
สุดท้ายนี้ นางสาวซาบรีนา ได้สรุปทิ้งท้ายถึงการเดินทางเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลว่าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม และด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจอย่างแรงกล้าจะทำให้เราสามารถสร้างสีสันใหม่ให้กับยุคนี้ได้ หัวเว่ยจะทำงานร่วมกับลูกค้าและพันธมิตรเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล และการเติบโตสู่ความสำเร็จในยุคดิจิทัลแห่งอนาคตไปพร้อมกัน