แคนนอน ฉลองชัยตอกย้ำความสำเร็จในการผลิตกล้องซีรีส์EOSครบ 110 ล้านตัว และเลนส์RF/EFครบ 160 ล้านตัว

กรุงเทพฯ 14 กรกฎาคม 2566– แคนนอน (CANON) ประกาศฉลองชัย ตอกย้ำความสำเร็จในการผลิตกล้องแบบถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ในซีรีส์ EOS ครบ 110 ล้านตัว[1]เมื่อเดือนมีนาคมและผลิตเลนส์ RF/EF แบบถอดเปลี่ยนได้ครบ 160 ล้านตัว[2]เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยกล้องในซีรีส์ EOS ที่ผลิตเป็นตัวที่ 110 ล้านคือรุ่นEOS R6 Mark II (เปิดตัวเมื่อเดือนธันวาคม2565) ในขณะที่เลนส์ตัวที่ 160 ล้าน เป็นเลนส์รุ่นRF100mm F2.8 L MACRO IS USM (เปิดตัวเมื่อเดือนกรกฎาคม 2564)

ยอดการผลิตกล้องในซีรีส์ EOS 110 ล้านตัวตอกย้ำความมุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์ “Speed, Comfort and High Image Quality” ของแคนนอน

ระบบ EOS หรือ Electro Optical Systemสอดคล้องกับชื่อเทพีแห่งรุ่งอรุณในเทพปกรณัมกรีก โดยกล้องระบบ EOS ของแคนนอนเปิดตัวพร้อมกับเลนส์แบบถอดเปลี่ยนได้ในซีรีส์EF ในเดือนมีนาคม2530โดยเป็นเลนส์เมาท์ระบบไฟฟ้าเต็มรูปแบบสำหรับกล้องฟิล์มSLR ที่มาพร้อมระบบออโต้โฟกัสครั้งแรกของโลก โดยในยุคแรกของกล้องดิจิทัล SLR แคนนอนได้สร้างปรากฎการณ์ใหม่ของวงการด้วยการเปิดตัวกล้องดิจิทัลEOS Kiss ในเดือนกันยายน 2546 (ภายใต้ชื่อรุ่น EOS Digital Rebel หรือ EOS 300D ในบางภูมิภาค) และนับแต่นั้นเป็นต้นมา แคนนอนยังคงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ล้ำสมัยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกล้องสำหรับมืออาชีพในซีรีส์ EOS-1D และซีรีส์ EOS 5D ซึ่งเป็นอีกก้าวที่นำไปสู่การเป็นกล้อง DSLR ที่ใช้ในการบันทึกวิดีโออีกด้วย

ความมุ่งมั่นของแคนนอนในการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์บันทึกภาพเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย นำไปสู่การพัฒนาระบบใหม่อย่างEOS R System ซึ่งเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2561ซึ่งกล้องในซีรีส์EOS ของแคนนอนได้กระแสตอบรับและการสนับสนุนจากผู้บริโภคอย่างล้นหลามตลอดหลายปีที่ผ่านมา จนทำให้บริษัทครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก[3]ในอุตสาหกรรมกล้องดิจิทัล SLR ในช่วง20 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2546ถึง 2565โดยแคนนอนสามารถผลิตกล้องซีรีส์EOS ครบ 110 ล้านตัวเมื่อเดือนมีนาคม 2566 ที่ผ่านมา

เส้นทางการผลิตเลนส์ RF/EF ครบ 160 ล้านตัวสู่ความแข็งแกร่งด้านนวัตกรรมแห่งการบันทึกภาพขั้นสูง

เลนส์ EF เอกสิทธิ์ของแคนนอนซึ่งเปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคม 2530 พร้อมกับระบบกล้อง SLRซีรีส์EOS ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เปิดตัว และก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำอุตสาหกรรมจากการผสานเทคโนโลยีอันล้ำสมัยต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งรวมถึงการนำเสนอเทคโนโลยีมอเตอร์อัลตร้าโซนิค(Ultrasonic Motor: USM) ระบบป้องกันภาพสั่นไหว (Image Stabilizer: IS) และชิ้นเลนส์ลดความคลาดสี(Multilayered Diffractive Optical: DO) เป็นรายแรกของโลก

ด้วยการเพิ่มกลุ่มผลิตภัณฑ์เลนส์ RF ซึ่งมอบคุณภาพขั้นสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนผ่านการใช้รูรับแสงขนาดใหญ่และระยะท้ายเลนส์ที่สั้นร่วมกับระบบการส่งสัญญาณความเร็วสูง ถือเป็นจุดเด่นของระบบ EOS R ที่เปิดตัวเมื่อปี 2561ทำให้กลุ่มผลิตภัณฑ์เลนส์ทั้งหมดจึงมีมากถึง 115 รุ่น ช่วยขยายขีดความสามารถในการบันทึกภาพให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยบริษัทได้ฉลองการผลิตเลนส์แบบถอดเปลี่ยนได้ในกลุ่มซีรีส์EOSครบ 160 ล้านตัวเมื่อเดือนพฤษภาคม 2566ที่ผ่านมา

การยกระดับประสิทธิภาพของเทคโนโลยีการถ่ายภาพที่เป็นเอกสิทธิ์ของแคนนอนอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้สามารถเสริมความแข็งแกร่งและขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ในซีรีส์EOS ได้อย่างต่อเนื่องร่วมกับกลุ่มผลิตภัณฑ์เลนส์ RF และ EF โดยมุ่งมั่นขยายขีดจำกัดของการถ่ายภาพ พร้อมร่วมพัฒนาวัฒนธรรมการถ่ายภาพและวิดีโอให้แพร่หลายต่อไป

กล้องซีรีส์EOS

กล้องซีรีส์EOS เป็นระบบกล้อง SLR ที่มาพร้อมระบบออโต้โฟกัสรุ่นใหม่ที่ใช้เมาท์อิเล็กทรอนิกส์และการควบคุมแบบอิเล็กทรอนิกส์เต็มระบบเป็นครั้งแรกของโลก เปิดตัวด้วยกล้องEOS 650 เป็นรุ่นแรกของซีรีส์และวางจำหน่ายในเดือนมีนาคม2530

เมื่อกล้องฟิล์มได้รับความนิยมถึงขีดสุด แคนนอนจึงเปิดตัวกล้องอีกหลายรุ่นให้ครอบคลุมความต้องการที่หลากหลายของผู้ใช้งาน ซึ่งรวมถึงรุ่น EOS-1เปิดตัวในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2530 ที่เจาะกลุ่มเป้าหมายผู้ใช้งานระดับมืออาชีพ และรุ่น EOS Kiss เปิดตัวในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2536(ภายใต้ชื่อรุ่น EOS Rebel XS หรือ EOS 500 ในบางภูมิภาค) ซึ่งถูกออกแบบมาให้มีขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบาจึงช่วยขยายฐานผู้ใช้งานกล้องแคนนอนได้อย่างมาก หลังจากนั้นในปี2546ซึ่งเป็นช่วงแรก ๆ ของยุคกล้องดิจิทัล บริษัทยังได้เปิดตัวกล้อง EOS Kiss Digital ที่สร้างกระแสฮือฮาในประเทศญี่ปุ่น (ภายใต้ชื่อรุ่น EOS Digital Rebel หรือ EOS 300D Digital ในบางภูมิภาค) ซึ่งเป็นกล้องดิจิทัลSLR ระดับเริ่มต้นขนาดกะทัดรัดน้ำหนักเบา ในระดับราคาย่อมเยา ถือว่าการพัฒนาครั้งนี้ได้เร่งการขยายตลาดกล้องของบริษัทฯ ให้กว้างขึ้นอย่างมากทำให้แคนนอนสามารถก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำส่วนแบ่งตลาดของปีนั้นได้อย่างโดดเด่นและด้วยการเปิดตัวกล้องซีรีส์EOS-1D สำหรับมืออาชีพและซีรีส์EOS 5D ทำให้กล้อง SLRเป็นที่นิยมในการใช้ถ่ายวิดีโอและทำให้แคนนอนกลายเป็นผู้นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เปิดศักราชใหม่แห่งการบันทึกภาพอย่างแท้จริง

ในเดือนตุลาคม 2561 แคนนอนได้เปิดตัวระบบ EOS R System โดยเปิดตัวกล้อง EOS R เป็นรุ่นแรก และกล้องEOS R5 เป็นรุ่นแรกที่มาพร้อมคุณสมบัติการบันทึกวิดีโอระดับ 8K ที่เปิดตัวในเดือนกรกฎาคม 2563 ตามมาด้วยกล้องรุ่น EOS R3 ในเดือนพฤศจิกายน 2564ซึ่งมีคุณสมบัติติดตามการเคลื่อนไหวของวัตถที่เคลื่อนที่เร็วและประสิทธิภาพในการถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูงนอกจากนี้ ยังมีกล้อง EOS R100 ขนาดกะทัดรัดน้ำหนักเบาเพื่อขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทมาอีกเช่นกัน นอกจากนี้ ในเดือนธันวาคม 2564แคนนอนยังได้เปิดตัวระบบ EOS VR System ซึ่งออกแบบมาเพื่องานบันทึกวิดีโอในรูปแบบเสมือนจริง(Virtual Reality)และด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าแคนนอนยังคงแสวงหาศักยภาพใหม่ๆ ในด้านการบันทึกภาพอย่างต่อเนื่อง

เลนส์แคนนอนตระกูลRFและEF

หลังจากการเปิดตัวเลนส์ EF รุ่นแรกพร้อมกับกล้องซีรีส์EOSในเดือนมีนาคม 2530 แคนนอนได้นำเสนอเทคโนโลยีเลนส์ขั้นสูงครั้งแรกของโลกอีกมากมาย ทั้งในเลนส์รุ่นEF75-300mm f/4-5.6 IS USM ที่มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวโดยเปิดตัวในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2538เลนส์รุ่นEF400mm f/4 DO IS USM ที่ใช้ชิ้นเลนส์ DO เปิดตัวในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2544 และยังเปิดตัวเลนส์รุ่นEF24mm f/1.4L II USM ที่ใช้เทคโนโลยีการเคลือบผิวเลนส์ด้วยสารลดแสงสะท้อนขั้นสูง (Subwavelength Structure Coating: SWC[4]) ในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2551และต่อมาในปี 2561แคนนอนได้เปิดตัวเลนส์รุ่นRF28-70mm f/2L USMเลนส์ซูมมาตรฐานที่ที่ค่ารูรับแสงคงที่f/2 ตลอดช่วงการซูม[5]ตัวแรกของโลก และในเดือนพฤษภาคม 2566 บริษัทเปิดตัวเลนส์ซูมเทเลโฟโต้เส้นผ่าศูนย์กลางขนาดใหญ่รุ่นRF100-300mm f/2.8L IS USM ที่ส่งมอบทั้งคุณภาพระดับสูงและคุณสมบัติการพกพาที่สะดวกสบายไว้ในหนึ่งเดียว

วันนี้ แคนนอนมีเลนส์ทั้งหมด 115รุ่นในกลุ่มผลิตภัณฑ์เลนส์  RF และ EF ซึ่งครอบคลุมเลนส์ต่างๆ เช่น เลนส์ทางยาวโฟกัสมุมกว้างพิเศษระยะ 5.2มม.เลนส์ซูเปอร์เทเลโฟโต้ทางยาวโฟกัส 1200 มม.และเลนส์ซีเนมาEF สำหรับงานผลิตวิดีโอ ด้วยการนำเสนอเลนส์ที่หลากหลายและตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ซึ่งมีทั้งเลนส์ซูม เลนส์ที่มาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวเลนส์ที่มีค่ารูรับแสงกว้าง เลนส์มาโคร เลนส์ VR และแม้แต่เลนส์ทิลท์ชิฟที่สามารถปรับแก้องศาของชิ้นเลนส์ได้ทำให้แคนนอนสามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้ใช้งานในปัจจุบันได้ครอบคลุมมากที่สุด

[1]ยอดขายรวมของกล้องฟิล์ม และกล้องดิจิทัล รวมถึงกล้องถ่ายภาพยนตร์สำหรับงานผลิตวิดีโอ
[2]รวมเลนส์ภาพยนตร์และอุปกรณ์ขยายระยะเลนส์ในซีรีส์EF, EF-S, RF, RF-S, EF-M และ EF
[3]ในแง่ของส่วนแบ่งการตลาดตามจำนวนที่จำหน่ายได้ จากการวิจัยของแคนนอน
[4] Subwavelength Structure Coating คือเทคโนโลยีการเคลือบผิวเลนส์ชนิดพิเศษที่มอบคุณสมบัติการป้องกันแสงสะท้อนได้อย่างดีเยี่ยม
[5]ในกลุ่มเลนส์ถอดเปลี่ยนได้ที่รองรับระบบออโต้โฟกัสตลอดระยะการซูมมาตรฐาน และใช้ได้กับกล้องฟูลเฟรมเซ็นเซอร์เทียบเท่า 35มม. ตามข้อมูลการวิจัยของแคนนอน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *