กรุงโซล, 1 พฤศจิกายน 2567 – แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (แอลจี) ได้จัดงานแถลงข่าวที่ LG Digital Park ประเทศเกาหลีใต้ เปิดวิสัยทัศน์แห่งอนาคตสำหรับธุรกิจ B2B โดยมุ่งยกระดับกลุ่มธุรกิจโซลูชันสำหรับองค์กร (LG Business Solutions Company) สู่เป้าหมายรายได้รวมต่อปีที่ 10 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 2.5 แสนล้านบาท) ภายในปี 2573
ในงาน Investor Forum 2024 แอลจียังได้เน้นย้ำถึงการเร่งพัฒนาภาคธุรกิจ B2B ซึ่งเป็นหัวใจหลักของกลยุทธ์การปรับเปลี่ยนพอร์ตโฟลิโอทางธุรกิจ โดยแอลจีคาดว่า ภายในปี 2573 ธุรกิจ B2B จะมีสัดส่วนยอดขายรวมสูงถึง 45% จากยอดขายรวมทั้งหมดของบริษัท
ทั้งนี้ แอลจีวางแผนเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มธุรกิจ B2B ด้วยการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักเช่น โทรทัศน์สำหรับโรงแรมและโรงพยาบาล กลุ่มผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์แล็ปท็อประดับพรีเมียม พร้อมทั้งมุ่งพัฒนาจอแสดงผลทางการแพทย์ และเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อสร้างพอร์ตโฟลิโอที่ยั่งยืนและมีศักยภาพในการเติบโต
นอกจากนี้ แอลจียังเร่งเสริมศักยภาพในกลุ่มธุรกิจ B2B อย่างรวดเร็วในหลากหลายด้าน ครอบคลุมทั้งธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ ระบบเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ เครื่องใช้ไฟฟ้าแบบบิลท์อิน และโซลูชันโรงงานอัจฉริยะ พร้อมขยายสู่ธุรกิจด้านอุปกรณ์เคลื่อนที่ และธุรกิจใหม่ๆ เพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลงธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ
โดยกลุ่มธุรกิจโซลูชันสำหรับองค์กรได้นำเสนอจอดิจิทัลไซเนจที่ปรับแต่งสำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์ต่างๆ ได้แก่ โรงแรม ร้านค้าปลีก สำนักงาน โรงเรียน และโรงพยาบาล ตลอดจนผลิตภัณฑ์ไอทีตั้งแต่จอภาพสเปกสูง ไปจนถึง
แล็ปท็อประดับพรีเมียม LG gram หุ่นยนต์เชิงพาณิชย์ และโซลูชันการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า
นอกจากนี้ ภาคธุรกิจ B2B ยังได้รับผลกระทบจากความผันผวนทางเศรษฐกิจน้อยกว่ากลุ่ม B2C ส่งผลให้มีรายได้และกำไรที่มั่นคงกว่า อีกทั้งยังมีข้อได้เปรียบจาก ‘ล็อคอินเอฟเฟกต์’ ซึ่งสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า พร้อมสร้างการเติบโตร่วมกัน
มร. อิก ฮวาน จาง รองประธานบริหารกลุ่มธุรกิจโซลูชันสำหรับองค์กรของแอลจี กล่าวว่า “ตลอด 66 ปีที่ผ่านมา แอลจีได้สั่งสมองค์ความรู้และประสบการณ์จากการทำธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อสร้างโซลูชันที่ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าองค์กรในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน พร้อมเสริมสร้างชื่อเสียงของแอลจีในฐานะพันธมิตรที่น่าเชื่อถือในตลาด B2B ที่มีการแข่งขันสูง โดยกลุ่มธุรกิจโซลูชันสำหรับองค์กรกำลังมุ่งมั่นที่จะเพิ่มรายได้ปัจจุบันเป็นสองเท่า ให้ถึง 10 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 2.4 แสนล้านบาท) ภายในปี 2573 นี้”
ขับเคลื่อนตลาดจอแสดงผลเชิงพาณิชย์ด้วยจอดิจิทัลไซเนจระดับพรีเมียมและทีวีสำหรับธุรกิจบริการ
แอลจีได้รับตำแหน่งผู้นำในตลาดโซลูชันจอแสดงผล B2B ด้วยเทคโนโลยีจอแสดงผลเชิงพาณิชย์ระดับสูงสุด จอดิจิทัลไซเนจ จอแอลอีดีระดับพรีเมียม และผลงานที่แข็งแกร่งในตลาดทีวีสำหรับโรงแรมและโรงพยาบาลทั่วโลก ธุรกิจจอแสดงผลเชิงพาณิชย์ของแอลจีมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2562 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 7%
แอลจีจะยังคงขยายธุรกิจโซลูชันจอแสดงผลเชิงพาณิชย์ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการปรับแต่งสำหรับพื้นที่การใช้งานต่างๆ โดยจะมุ่งเน้นไปที่ป้าย Fine-pitch LED (รวมถึงรุ่น All-in-One LED และ Micro LED) ซึ่งเป็นหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราการเติบโตของรายได้เป็นตัวเลขสองหลักในทุกปี
โดยผลิตภัณฑ์เรือธงของการเติบโตในครั้งนี้คือ จอแสดงผล LG MAGNIT Micro LED ที่ล้ำสมัย พร้อมนำเสนอฟีเจอร์ระดับพรีเมียมและมีรุ่นสำหรับโครงการที่อยู่อาศัย สายผลิตภัณฑ์ LG MAGNIT มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ รวมถึงรุ่น All-in-one สำหรับห้องประชุม รุ่นที่ออกแบบมาสำหรับสตูดิโอผลิตแบบเวอร์ชวล รุ่นโรงภาพยนตร์ในบ้านระดับพรีเมียม และรุ่นที่มีชุดจ่ายไฟ (PSU) แยกต่างหาก นับตั้งแต่ปี 2563 MAGNIT มีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีการเติบโตของรายได้ประจำปีเฉลี่ยเกือบสองเท่าในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ แอลจียังเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับพอร์ทโฟลิโอของโซลูชันจอดิจิทัลไซเนจที่มีนวัตกรรมด้วยผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น จอแสดงผล LG Micro LED รุ่นใหม่ ซึ่งมีกำหนดการเปิดตัวในช่วงปลายปีนี้ แอลจีได้นำเทคโนโลยี AI ล่าสุดมาใช้กับหน้าจอ Micro LED ที่กำลังจะเปิดตัว ทั้งในระหว่างกระบวนการผลิต และเพื่อสร้างอัลกอริธึมด้านคุณภาพภาพอัจฉริยะที่จะช่วยรับประกันศักยภาพด้านการแสดงผลภาพที่เหนือกว่า ในส่วนของกระบวนการผลิต AI ได้รับการใช้เพื่อประเมินและเลือกชิป LED แต่ละตัวของผลิตภัณฑ์ซึ่งมีจำนวนประมาณ 25 ล้านชิ้น (สำหรับรุ่นขนาด 136 นิ้ว) ในขณะเดียวกันหน่วยประมวลผล AI ที่ใช้กับจอแสดงผล LG Micro LED จะวิเคราะห์ ปรับสี และปรับความสว่างแบบเรียลไทม์เพื่อให้ได้คุณภาพของภาพที่ดีที่สุด
เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต แอลจีมุ่งมั่นในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าองค์กร และเพิ่มไลน์อัพที่หลากหลายของโซลูชันฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ได้รับการปรับแต่งให้เหมาะสมสำหรับตลาดเชิงพาณิชย์
แอลจียังคงรักษาตำแหน่งความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งในตลาดทีวีสำหรับธุรกิจโรงแรมระดับโลก และกำลังร่วมมือกับเครือโรงแรมระดับนานาชาติที่มีชื่อเสียง ซึ่งรวมถึง IHG Hotels & Resorts และเครือ Hyatt
นอกเหนือจากข้อเสนอด้านฮาร์ดแวร์ แอลจียังให้บริการโซลูชันคลาวด์หลากหลายผ่านแพลตฟอร์ม B2B ออนไลน์ LG Business Cloud ซึ่งรวมถึงโซลูชันโฆษณาป้ายดิจิทัล LG DOOH Ads โซลูชันการจัดการเนื้อหา และทีวีสำหรับธุรกิจโรงแรม LG SuperSign Cloud และ ระบบ Pro:Centric โซลูชันการตรวจสอบและจัดการระยะไกล LG ConnectedCare
เพื่อเร่งการขยายตัวไปสู่ธุรกิจใหม่และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในภาพรวม แอลจีกำลังสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับบริษัท B2B ในระดับโลก โดยเมื่อเร็วๆ นี้ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับ Ricoh ผู้ให้บริการโซลูชันสำหรับสำนักงาน เพื่อสำรวจเรื่องการพัฒนาบริการลูกค้าองค์กรแบบครบวงจร
เสริมสร้างตำแหน่งของแอลจีในฐานะผู้นำด้านโซลูชันการชาร์จ EV
แอลจีพร้อมที่จะเร่งการเติบโตในธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มสดใส โดยธุรกิจเครื่องชาร์จ EV ของบริษัทโดดเด่นในฐานะ ‘ยูนิคอร์น’ ที่กำลังเกิดขึ้น ผ่านการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์และการลงทุน แอลจีพร้อมที่จะเสริมจุดยืนของตัวเองในตลาดเครื่องชาร์จ EV ระดับโลก
ทั้งนี้ แอลจีได้เปิดโรงงานผลิตเครื่องชาร์จ EV ในสหรัฐอเมริกา (รัฐเท็กซัส) ในเดือนมกราคมปีนี้ และในเดือนมิถุนายนได้บรรลุข้อตกลงกับทาง ChargePoint ผู้นำด้านโซลูชันการชาร์จแบบเครือข่ายสำหรับ EV ในพื้นที่อเมริกาเหนือ ทั้งสองบริษัทกำลังร่วมมือกันเพื่อขยายธุรกิจโดยเพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางการจัดจำหน่าย เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับพอร์ทโฟลิโอผลิตภัณฑ์ และร่วมกันพัฒนาโซลูชันรุ่นต่อไป นอกจากนี้ แอลจียังใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการขายในกลุ่ม B2B ที่กว้างขวางในสหรัฐอเมริกา ซึ่งสร้างขึ้นจากความสำเร็จระดับประเทศในกลุ่มทีวีสำหรับกลุ่มธุรกิจโรงแรมและป้ายดิจิทัล เพื่อมุ่งเป้าไปที่การตอบโจทย์ความต้องการโครงสร้างพื้นฐานด้านการชาร์จ EV ที่เพิ่มขึ้นของประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านการชาร์จที่จำเป็นสำหรับโรงแรม ศูนย์การค้า และร้านค้าปลีก ตลอดจนสถานีชาร์จบนทางหลวงและคลังสินค้า
แอลจีตั้งเป้าที่จะครองส่วนแบ่งตลาดเครื่องชาร์จแบบเร็วในสหรัฐอเมริกาประมาณ 8% ภายในปี 2573 และจะวางตำแหน่งตัวเองเป็นผู้ให้บริการโซลูชันการชาร์จ EV ระดับแนวหน้าของโลก
นอกจากนี้ แอลจียังจัดการกับความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเครื่องชาร์จ EV ในเชิงรุก โดยการนำโซลูชันป้องกันไฟไหม้ต่างๆ มาใช้งาน
ให้ความสำคัญกับจอภาพทางการแพทย์เป็นกลไกการเติบโตที่สำคัญ
แอลจีกำลังมุ่งเน้นไปที่ภาคส่วนของจอภาพทางการแพทย์ในฐานะที่เป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ให้ธุรกิจไอทีของบริษัท โดยมีแผนที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้ให้บริการจอภาพทางการแพทย์ระดับท็อป 3 ของโลกภายในช่วงเวลาห้าปีข้างหน้า
จอภาพทางการแพทย์จำเป็นต้องเป็นไปตามข้อกำหนดด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์ของแต่ละประเทศ รวมถึงมาตรฐานการแสดงผลภาพทางการแพทย์ด้วยความแม่นยำและความน่าเชื่อถือของภาพที่ยอดเยี่ยม จอภาพเหล่านี้จึงถือเป็นผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมที่มีอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดสูง และได้รับการยอมรับว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ตามข้อมูลของบริษัทวิจัยตลาด Omdia คาดว่าตลาดจอภาพทางการแพทย์ทั่วโลกจะมีมูลค่าประมาณ 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2573 ในตลาดเช่นภูมิภาคอเมริกาเหนือและยุโรป โรงพยาบาลจำเป็นต้องใช้จอภาพระดับการแพทย์สำหรับการตรวจสอบภาพทางการแพทย์ที่ได้จากการเอ็กซเรย์ การส่องกล้อง และขั้นตอนอื่นๆ ด้วยข้อบังคับที่เข้มงวดเหล่านี้ คาดว่าตลาดจอภาพระดับการแพทย์จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต
ธุรกิจจอภาพทางการแพทย์ของแอลจีได้ขยายตัวอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การเปิดตัวในปี 2559 โดยมีอัตราการเติบโตรายปีเกือบสองหลักในตลาดอเมริกาเหนือและยุโรป ไลน์อัพผลิตภัณฑ์ซึ่งปัจจุบันมีจำหน่ายในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ประกอบด้วยจอภาพทางการแพทย์ 14 ประเภท – รวมถึงรุ่นสำหรับคลินิก สำหรับใช้เพื่อการวินิจฉัย และการผ่าตัด – และเครื่องตรวจจับรังสีเอกซ์แบบดิจิทัล (DXDs) 6 ประเภท
ในอนาคต แอลจีวางแผนที่จะผสานเทคโนโลยี AI เข้ากับการวิเคราะห์ข้อมูลและโซลูชันที่ได้จากจอภาพทางการแพทย์และเครื่องตรวจจับรังสีเอกซ์แบบดิจิทัล และกำลังพิจารณามุ่งหน้าเข้าสู่ภาคธุรกิจอุปกรณ์ถ่ายภาพทางการแพทย์
ความสำเร็จของแอลจีในภาคธุรกิจ B2B เป็นผลมาจากเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมาหลายปีในตลาด B2C เมื่อเร็วๆ นี้ แอลจีอยู่ระหว่างการเจรจาเกี่ยวกับสัญญาการจัดหาจอภาพความละเอียดสูงที่สร้างขึ้นตามความต้องการเฉพาะของลูกค้า เพื่อส่งมอบให้กับบริษัทบริการทางการเงินในสหรัฐอเมริกาเป็นระยะเวลาห้าปี โดยแอลจีได้จัดหาจอภาพแบบคู่ให้กับบริษัทสื่อทางการเงินในสหรัฐอเมริกา และจัดหาจอแสดงผลสำหรับความบันเทิงบนเครื่องบิน (IFE) ให้กับสายการบินระหว่างประเทศด้วยเช่นกัน