10 มีนาคม พ.ศ.2566 –ปัจจัยจากเรื่องการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเหล่าสตาร์ทอัพ ‘ยูนิคอร์น’ และอายุขัยเฉลี่ยของประชากรเพียง30.2 ปี ผลักดันให้ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกก้าวเข้าสู่ยุคทองของเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างมั่นคง จากแรงผลักดันเรื่องความต้องการโครงสร้างพื้นฐานไอซีทีที่เติบโตอย่างยั่งยืน ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลและสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่เร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านนี้ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ในช่วงเวลาที่ประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเริ่มทยอยเปิดประเทศและคาดว่าจะรักษาอัตราการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีพ.ศ.2566โดยมีการคาดการณ์อัตราการขยายตัวของ GDP เอาไว้มากกว่า 4%ส่งผลให้แนวโน้มการใช้งานบริการด้านโทรคมนาคมเพิ่มสูงขึ้นอย่างไรก็ตาม ตลาดโทรคมนาคมในเอเชียแปซิฟิกยังคงมีความเหลื่อมล้ำ โดยการเข้าถึงเครือข่าย4G มีอัตราที่ต่างกันตั้งแต่ 40% จนถึง 100% ส่งผลให้สถิติข้อมูลประชากรและอัตราการรับส่งข้อมูลยังไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ การตอบโจทย์ด้านบริการโทรคมนาคมสำหรับผู้บริโภคก็ยังคงไม่บรรลุศักยภาพสูงสุด
ในระหว่างงานแถลงข่าว ณ งานมหกรรมระดับโลกด้านเทคโนโลยีไร้สาย โมบายล์ เวิลด์ คองเกรส ประจำปี พ.ศ. 2566 (Mobile World Congress – MWC 2023)นายอาเบล เติ้ง ประธานกลุ่มธึรกิจเครือข่ายโทรคมนาคมภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของหัวเว่ย ได้เปิดเผยว่า“หัวเว่ยซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีไอซีทีได้นำเสนอหลากหลายกลยุทธ์เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลและผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เทคโนโลยี 5Gจะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างเห็นได้ชัด ในประเทศไทย หัวเว่ยได้ผนึกกำลังเหล่าพันธมิตรและผู้ให้บริการเครือข่ายเพื่อเปิดใช้งานรถขุดเหมืองไร้คนขับบนโครงข่าย5G เพื่อเสริมศักยภาพการผลิตและขยายกำลังการผลิตอย่างก้าวกระโดด ตลอดจนเพิ่มความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานเหมือง เนื่องจากเหมืองแร่มักตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่โครงข่ายโทรคมนาคมยังเข้าไม่ถึง เครือข่าย 5G มอบช่องทางการติดต่อสื่อสารระหว่างพนักงานเหมืองและช่วยบริหารจัดการระบบรถขุดในเหมือง ประเทศอินโดนีเซียถือเป็นอีกหนึ่งในตัวอย่างของการประยุกต์ใช้งานโซลูชันเหมืองอัจฉริยะโดยเทคโนโลยี 5G ช่วยทำให้ประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มขึ้น60% และลดการใช้เชื้อเพลิงได้ถึง30%”
“นอกเหนือจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี5G ในการทำเหมืองแร่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังก้าวสู่เส้นทางการเปิดรับโอกาสการพลิกโฉมสู่ยุคดิจิทัลในอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยประเทศมาเลเซียได้เปิดตัวแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่ง 5G แห่งแรกของภูมิภาคที่มาพร้อมกับโซลูชันการสำรองข้อมูล นวัตกรรมการใช้AR ช่วยสนับสนุนกระบวนการทำงานและโซลูชัน IoT เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์ ช่วยยกระดับเสถียรภาพการเชื่อมต่อสื่อสารและประหยัดต้นทุนไปพร้อมกันนอกจากนี้โซลูชันการแพทย์ทางไกลในประเทศไทย ยังช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยและรักษาโรคอย่างเต็มประสิทธิภาพในทุกที่ทุกเวลาผ่านเครือข่าย 5G และโซลูชันพัทยาเมืองอัจฉริยะ 5G ยกระดับการบริหารจัดการเมืองใหญ่เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชากรและลดมลพิษลงกว่า 20%” นายอาเบลกล่าวเสริม
เขายังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าหัวเว่ยได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับโครงการเหล่านี้โดยได้เข้าไปช่วยบ่มเพาะความเชี่ยวชาญและสั่งสมประสบการณ์เพื่อวางรากฐานที่มั่นคงด้านผลิตภัณฑ์และโซลูชันไอซีที ในด้านเทคโนโลยีการเชื่อมต่อไร้สายหัวเว่ยได้บุกเบิกนวัตกรรมโซลูชันที่จะช่วยเพิ่มอัตราการส่งสัญญาณให้ครอบคลุมยิ่งขึ้นและประหยัดพลังงานขึ้น30% จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับตลาดภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพราะตอบโจทย์ความท้าทายด้านสถานีส่งสัญญาณที่มีจำนวนน้อยและค่อนข้างมีระยะห่างกัน ในด้านโซลูชันบ้านอัจฉริยะผลิตภัณฑ์เครือข่ายไฟเบอร์แบบถึงห้องพัก (Fiber to The Room) FTTR F30รุ่นใหม่จะสร้างประสบการณ์การใช้งานเครือข่ายระดับ‘กิกะบิต’และนำประสบการณ์ดิจิทัลคุณภาพสูงสุดมาสู่ชุมชนในภูมิภาค
“เครือข่ายความเร็วเหนือระดับที่ผสานด้วยระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีอัจฉริยะทวีความสำคัญมากขึ้นเพื่อสอดรับกับความต้องการที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องผนวกกับโอกาสธุรกิจใหม่ในยุคดิจิทัล ในปัจจุบันคาดการณ์ว่าเทคโนโลยี5.5G จะเสริมศักยภาพผู้ให้บริการเครือข่ายโดยเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายขึ้นอีก10 เท่าเปรียบเทียบกับ 5G และมีแนวโน้มจะแปลงเป็นโอกาสทางธุรกิจได้ถึง100 เท่า” นายอาเบลกล่าว
ผนึกกำลังเพื่อพลิกโฉมความรุ่งเรืองของยุค 5.5G
ในงานมหกรรมระดับโลกด้านเทคโนโลยีไร้สาย โมบายล์ เวิลด์ คองเกรส ประจำปี พ.ศ. 2566 (MWC 2023) นายหยาง เชาปิน รองประธานอาวุโสและประธานกลุ่มผลิตภัณฑ์และโซลูชันไอซีทีของหัวเว่ย ได้กล่าวว่า การพัฒนาที่รุดหน้าของเทคโนโลยี 5G นำไปสู่ความต้องการบริการในรูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากเดิมและมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยจำเป็นต้องใช้ศักยภาพของเทคโนโลยี 5G ที่เหนือระดับขึ้นไปอีกขั้น ดังนั้นการพัฒนาเทคโนโลยี 5.5G จึงเป็นหนทางเดียวที่จะยกระดับการพัฒนาเครือข่าย 5G ได้ซึ่งหัวเว่ยและพาร์ทเนอร์ได้บรรลุฉันทามติร่วมกันในด้านการพัฒนาเทคโนโลยี 5.5Gและยึดเป็นแนวทางในการพัฒนาของภาคอุตสาหกรรม โดยทิศทางที่ชัดเจนด้านการกำหนดมาตรฐาน 5.5G (5G-Advanced) F5.5G (F5G-Advanced)และ Net5.5Gกลยุทธ์ที่ชัดเจนด้านคลื่นความถี่ การทดสอบเทคโนโลยีและการประยุกต์ใช้งานในสถานการณ์ต่างๆรวมถึงฉันทามติในภาคอุตสาหกรรมที่รุดหน้าอย่างต่อเนื่อง ล้วนมีส่วนขับเคลื่อนการพลิกโฉมเครือข่าย 5.5G เชิงพาณิชย์ ซึ่งการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายอีก10 เท่าจะช่วยผลักดันภาคอุตสาหกรรมหลายพันแห่งให้ปลดปล่อยศักยภาพด้านดิจิทัลที่แข็งแกร่งกว่าที่เคย
ภายในงาน หัวเว่ยยังได้เน้นย้ำถึงเอกลักษณ์สำคัญ 5 ประการของยุค 5.5G คือ ได้แก่ 1) ประสบการณ์การเชื่อมต่อระดับ 10 กิกะบิตต่อวินาที 2) รองรับอุปกรณ์ IoT ในทุกรูปแบบ3) โซลูชันเซ็นเซอร์และการสื่อสารแบบครบวงจร 4) เครือข่ายระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ L4 และ 5) เทคโนโลยี ICT ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ หัวเว่ยยังได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์เพื่อก้าวสู่ยุค 5.5G ว่าผู้เล่นในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ต้องผนึกกำลังเพื่อกำหนดมาตรฐานขั้นสูงเพื่อบ่มเพาะอุตสาหกรรมให้รุดหน้าและเผยข้อแนะนำสามประการ คือ
1) ทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมต้องร่วมกันกำหนดวิสัยทัศน์และกลยุทธ์สำหรับ5.5G
2) อุตสาหกรรมควรกำหนดมาตรฐานเทคโนโลยีภายใต้ข้อกำหนดของกลุ่มมาตรฐานอุตสาหกรรมโทรคมนาคม (The 3rd Generation Partnership Project- 3GPP)สถาบันมาตรฐานโทรคมนาคมของยุโรป (European Telecommunication Standards Institute – ETSI)และสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ(The International Telecommunication Union –ITU)
3) ผู้เล่นในอุตสาหกรรมควรร่วมส่งเสริมอีโคซิสเต็มอุตสาหกรรมให้รุดหน้าโดยผลักดันกรณีตัวอย่างการใช้งานจริงและเร่งการพลิกโฉมด้านดิจิทัลและนวัตกรรมอัจฉริยะ
หัวเว่ยสร้างความโดดเด่นในภาคอุตสาหกรรมเครือข่ายโทรคมนาคมไร้สายด้วยผลิตภัณฑ์และโซลูชันชั้นนำความสำเร็จอย่างต่อเนื่องด้านการคิดค้นนวัตกรรมล้ำสมัย ตลอดจนการมอบสิ่งดี ๆ คืนสู่ภาคอุตสาหกรรมและการมีส่วนร่วมในการพัฒนาภาคสังคมจนได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ในระหว่างมหกรรมโมบายล์ เวิลด์ คองเกรส (MWC 2023) ณ กรุงบาร์เซโลนา หัวเว่ยได้คว้า10 รางวัลในระดับอุตสาหกรรมซึ่งสะท้อนความเป็นเลิศด้านศักยภาพการบริหารธุรกิจและการดำเนินงานของหัวเว่ย
ในอนาคตโลกอัจฉริยะจะเชื่อมโยงกับโลกของเราอย่างไร้รอยต่อ โดยความบันเทิงส่วนบุคคลสำนักงานและอุตสาหกรรมการผลิตจะก้าวเข้าสู่ยุคการเชื่อมต่ออัจฉริยะ ความต้องการเครือข่ายจะเปลี่ยนจากเครือข่ายระดับกิกะบิตที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ ไปสู่ เครือข่ายระดับ 10 กิกะบิตที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ เปลี่ยนจากการเชื่อมต่อไปสู่การรับรู้และเปลี่ยนจากการใช้พลังงานเป็นการประหยัดพลังงาน
ในมหกรรมโมบายล์ เวิลด์ คองเกรส (MWC 2023) หัวเว่ยยังได้เผยต้นแบบทางธุรกิจGUIDEซึ่งเป็นกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ใหม่ในการสร้างมาตรฐานเพื่อวางรากฐานสู่ยุค 5.5G ซึ่งเกี่ยวกับประสบการณ์กิกะเวิร์สเพื่อทุกคนในทุกหนทุกแห่งโซลูชันอัตโนมัติสุดล้ำการประมวลผลอัจฉริยะและเครือข่ายในรูปแบบบริการ(network as a service) และประสบการณ์การใช้งานที่คัดสรรโดยเฉพาะสำหรับกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันและการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
“หัวเว่ยพร้อมยืนหยัดสนับสนุนความก้าวหน้าด้านดิจิทัลสำหรับเหล่าพันธมิตรชุมชนต่าง ๆ และทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกทั้งในปัจจุบันและต่อเนื่องสู่อนาคตในอีกหลายปีข้างหน้า”นาย อาเบล เติ้งกล่าวปิดท้าย