โดย นายจุน จางประธานฝ่ายสื่อสารองค์กรหัวเว่ยเอเชียแปซิฟิก
9พฤษภาคม พ.ศ.2566 – ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังก้าวสู่การพลิกโฉมสู่ยุคดิจิทัล โดยมีการคาดการณ์ว่ามูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี พ.ศ. 2573[1]ในขณะที่นานาประเทศทั่วทั้งภูมิภาคต่างเปิดรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลในเชิงรุก ส่งผลให้แนวโน้มความต้องการบุคลากรผู้มีทักษะด้านดิจิทัลเพิ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกันการนำระบบอัตโนมัติมาใช้แทนแรงงานคน ทำให้การยกระดับฝีมือแรงงานและการพัฒนาทักษะแรงงานอย่างต่อเนื่องมีความสำคัญต่อการก้าวสู่ยุคดิจิทัลในอนาคต
ทั้งนี้ ผลวิจัยจากGallup2เปิดเผยว่าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรผู้มีทักษะดิจิทัล โดยกว่า 76% ของตำแหน่งงานที่ว่างยังเป็นด้านที่เกี่ยวกับทักษะดิจิทัล ในขณะที่บริษัทเกือบ 72%ต้องเผชิญกับความท้าทายในการเติมเต็มตำแหน่งงานเหล่านี้ ปัจจุบันแนวโน้มความต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี แต่ยังขยายไปถึงอุตสาหกรรมสาธารณสุข อุตสาหกรรมเหมืองแร่ และภาคส่วนอื่น ๆ ที่กำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอีกด้วย
เพื่อลดช่องว่างด้านการขาดแคลนทักษะด้านดิจิทัล โปรแกรมการฝึกอบรมที่ตอบโจทย์ความต้องการจึงเป็นแรงผลักดันสำคัญในการบ่มเพาะบุคลากรดิจิทัล เพื่อให้พร้อมสำหรับความท้าทายในปัจจุบันและอนาคตที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยหัวเว่ยในฐานะผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีชั้นนำที่มาพร้อมกับองค์ความรู้และประสบการณ์ในอุตสาหกรรมรวมถึงศักยภาพด้านนวัตกรรมขั้นสูงจึงมีบทบาทสำคัญในการเร่งพัฒนาอีโคซิสเต็มของผู้มีทักษะดิจิทัล
สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หัวเว่ยได้ใช้กลยุทธ์ ‘PIPES Talent Model’ ซึ่งเป็นแผนแม่บทสำหรับการพัฒนาผู้มีความสามารถด้านดิจิทัล โดยกลยุทธ์ PIPES มาจากแนวคิดหลัก 5 ประการคือ แพลตฟอร์มนวัตกรรมความเป็นมืออาชีพประสบการณ์และ ทักษะโดยโครงการนี้เป็นการพัฒนาทักษะเฉพาะบุคคลที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเยาวชนรุ่นใหม่ หน่วยงานกำหนดนโยบาย ผู้ปฏิบัติงานด้านไอซีทีผู้ประกอบการ และประชาชนทั่วไป ทั้งนี้การเสริมศักยภาพบุคลากรผู้มีความสามารถด้านดิจิทัลของหัวเว่ยนี้ถือเป็นหนึ่งในการลงทุนเพื่ออนาคต และยังช่วยเร่งผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกไปพร้อมกัน
แพลตฟอร์ม: ผลักดันแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนความรู้และบ่มเพาะทักษะดิจิทัล
หัวเว่ยได้ร่วมมือกับทางมหาวิทยาลัย รัฐบาล และพาร์ทเนอร์ในอุตสาหกรรมเพื่อสร้างอีโคซิสเต็มที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมบนแพลตฟอร์ม ทั้งในโลกจริงและโลกเสมือนจริง เพื่อเสริมศักยภาพด้านดิจิทัลของบุคคลและชุมชนผ่านการแบ่งปันความคิดเห็นและทรัพยากรที่มีร่วมกัน
นับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2561 หัวเว่ยผนึกกำลังกับมหาวิทยาลัยกว่า 300 แห่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกฝึกอบรมนักศึกษามากกว่า 50,000 คนผ่านหลักสูตรการพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ และการแข่งขันทักษะไอซีทีและเมื่อเร็วๆนี้ได้มีการปิดฉากการแข่งขันเทคโนโลยีไอซีทีระดับภูมิภาคในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งถือเป็นตัวอย่างของความมุ่งมั่นในการผลักดันเวทีระดับโลกสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยในการใช้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เปิดโอกาสให้แสดงความคิดสร้างสรรค์และส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง
สำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ โปรแกรม ‘Huawei Cloud Incubator’ ช่วยผลักดันสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีให้เข้าถึงแพลตฟอร์มคลาวด์ของหัวเว่ย และในปัจจุบันโปรแกรมดังกล่าวร่วมสนับสนุนสตาร์ทอัพกว่า 110 รายทั่วภูมิภาค
นวัตกรรม: จุดประกายความคิดและสร้างสรรค์เทคโนโลยี
ด้วยเป้าหมายการสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนที่จะผู้นำในอนาคตด้วยแนวคิดใหม่และเทคโนโลยีขั้นสูง หัวเว่ยได้มีการจัดหลักสูตรการฝึกอบรมความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เพื่อเสริมทักษะและความรอบรู้ในประเด็นใหม่ ๆ ในอีโคซิสเต็มด้านเทคโนโลยีผ่านโครงการ ‘Seeds for the Future’ โดยโครงการฯดังกล่าวได้เปิดตัวในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2551ช่วยเสริมทักษะความรู้ความสามารถของนักศึกษามหาวิทยาลัยผ่านการฝึกอบรมด้วยแนวคิดใหม่ที่ผสานเทคโนโลยีขั้นสูง และการเข้าถึงวัฒนธรรมอันหลากหลายที่เป็นเอกลักษณ์
นอกจากนี้ยังมีการแข่งขัน Tech4Good ที่จัดขึ้นเพื่อช่วยสนับสนุนให้ผู้เข้าร่วมการแข่งขันคิดค้นวิธีแก้ปัญหาต่าง ๆ ในสังคมอย่างสร้างสรรค์ เพื่อสร้างผู้นำรุ่นใหม่ที่มีความตระหนักรู้ต่อสภาพสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยในปีที่ผ่านมา หนึ่งในผู้ชนะระดับภูมิภาคซึ่งเป็นตัวแทนจากมูลนิธิอาเซียน ได้นำเสนอโครงการ ‘N-ABLE’ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเพื่อการจับคู่ตำแหน่งงานกับบุคคลที่มีความต้องการพิเศษและตรงกับเนื้องาน ผ่านการให้คำปรึกษา การจับคู่งานและการฝึกอบรม
ในวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา หัวเว่ยได้เปิดตัว ‘Asia-Pacific OpenLab 3.0’ในประเทศสิงคโปร์ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาคสำหรับนวัตกรรมและโซลูชันการวิจัยพัฒนาล่าสุดของหัวเว่ย มาพร้อมห้องปฏิบัติการด้านเทคโนโลยีไอซีทีล้ำสมัยสี่ห้อง การเปิดตัวOpenLabล่าสุดของหัวเว่ยนับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นด้านการผนึกกำลังเพื่อเสริมศักยภาพด้านนวัตกรรมของหัวเว่ยและพาร์ทเนอร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันนวัตกรรมและพลิกโฉมการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลในประเทศและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ความเป็นมืออาชีพ: บ่มเพาะทักษะบุคลากรด้านดิจิทัล
เราเร่งพัฒนาบุคลากรดิจิทัลให้พร้อมสำหรับการจ้างงานในอนาคตผ่านการเสริมทักษะเทคโนโลยีไอซีทีโปรแกรมให้คำปรึกษาการสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่ง และการฝึกอบรมก่อนการจ้างงาน และเราไม่ได้ทำสิ่งนี้เพียงลำพัง
ในสิงคโปร์ Huawei ICT Academy ได้ผนึกกำลังกับวิทยาลัยสิงคโปร์โพลีเทคนิค (Singapore Polytechnic) เพื่อแนะนำหลักสูตรที่ได้รับการรับรองในอุตสาหกรรม ซึ่งครอบคลุมหลักสูตรต่าง ๆ ทั้งการเขียนโปรแกรม โซลูชัน AI และคลาวด์ ซึ่งมีเป้าหมายผลักดันให้บุคลากรมืออาชีพที่มีประสบการณ์ ให้สามารถใช้หลักสูตรเหล่านี้เพื่อเพิ่มพูนทักษะและเพิ่มโอกาสในการจ้างงานด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในอนาคต
ย้อนกลับไปในปีพ.ศ. 2563 ภายใต้การแนะนำของ KSP และการร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐหลากหลายหน่วยงานในประเทศอินโดนีเซีย หัวเว่ยได้เปิดตัวโครงการเพื่อปลูกฝังผู้มีความสามารถด้านดิจิทัลเพื่อบ่มเพาะบุคลากรผู้เชี่ยวชาญในประเทศอินโดนีเซียให้ได้100,000 คนภายในเวลา5 ปี และในปัจจุบันหัวเว่ยบรรลุเป้าหมายดังกล่าวไปแล้วถึง 80%
ประสบการณ์: ใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญและองค์ความรู้ด้านอุตสาหกรรม
ในฐานะผู้ให้บริการเทคโนโลยีชั้นนำที่วางรากฐานในเอเชียแปซิฟิกมากว่า 20 ปี หัวเว่ยได้สั่งสมความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและพัฒนาองค์ความรู้ในอุตสาหกรรมจนพร้อมถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ ให้กับบุคคลทั่วไปองค์กร และชุมชนทั่วทั้งภูมิภาค ทั้งนี้ โครงการ Business Institute ซึ่งอยู่ภายใต้ ASEAN Academy จะส่งมอบทักษะประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการองค์กรและการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลแก่ผู้บริหารระดับสูงและเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้พวกเขามองเห็นภาพใหญ่ท่ามกลางความซับซ้อนในยุคดิจิทัลและสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญเพื่อการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด
ทักษะ: เร่งพัฒนาทักษะดิจิทัลและความเป็นผู้นำ
สถาบันด้านเทคนิคและวิศวกรรมของ ASEAN Academy ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ปฏิบัติงานด้านไอซีทีด้วยหลักสูตรการฝึกอบรมการรับรองทักษะไอซีที, ทักษะการติดตั้งอุปกรณ์ และหลักสูตรอื่น ๆ ภายในปีพ.ศ. 2565 ศูนย์ฝึกอบรม ASEAN Academy ในประเทศไทย, ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศมาเลเซียช่วยเสริมศักยภาพทักษะไอซีทีให้ผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลไปแล้วกว่า 75,000 คน
หัวเว่ยยังมุ่งสร้างความเท่าเทียมด้านทักษะดิจิทัลและตอกย้ำความมุ่งมั่นในการลดความเหลื่อมล้ำ โดยในประเทศไทยและบังกลาเทศ ด้วยโครงการรถดิจิทัลเพื่อสังคม (Digital Bus) ที่เสริมทักษะดิจิทัลและองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีให้กับผู้หญิงและเด็กกว่า 60,000 คน และโครงการ School-in-a-Bag ช่วยเสริมทักษะให้เยาวชนในฟิลิปปินส์กว่า 10,000 คนจาก 15 หมู่บ้านสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ทางไกล
ในปีพ.ศ. 2564 หัวเว่ยได้ผนึกกำลังร่วมกับพรรคการเมืองสตรีของรัฐสภาอินโดนีเซีย หรือ KPP-RI จัดเวิร์คช็อปเตรียมความพร้อมให้กับนักการเมืองหญิงในยุคดิจิทัล พร้อมส่งเสริมทักษะความเป็นผู้นำเพื่อรับบทบาทสำคัญทางการเมืองในอนาคต
การลดช่องว่างด้านทักษะดิจิทัลจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และสถาบันการศึกษา ซึ่งเราจะสามารถสร้างตลาดงานที่มีพลวัตรและมีขีดความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัลได้ ผ่านการผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตร การบุกเบิกการวิจัยเชิงนวัตกรรม รวมทั้งการสร้างแหล่งการเรียนรู้ที่ตรงกับความต้องการและการแบ่งปันองค์ความรู้ในอุตสาหกรรม ถึงเวลาแล้วที่เราต้องร่วมกันกำหนดภูมิทัศน์ดิจิทัลของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพื่อก้าวสู่ยุคแห่งความเจริญก้าวหน้าทางดิจิทัล และเร่งการเข้าถึงนวัตกรรมและโอกาสใหม่ๆ ต่อไปในอนาคต
[1]https://seads.adb.org/news/google-led-study-sees-1-trillion-digital-economy-southeast-asia-2030