ฟอร์ติเน็ต ผู้นำระดับโลกด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ที่ขับเคลื่อนการผสานรวมของระบบเครือข่ายและระบบรักษาความปลอดภัยเข้าด้วยกัน ได้รับการจัดอันดับจาก Westlands Advisory ให้ขึ้นแท่นผู้นำการให้บริการความปลอดภัยทางไซเบอร์ในระบบ OT เป็นปีที่ 3 พร้อมเผยผลสำรวจล่าสุด แพลตฟอร์มความปลอดภัย ของฟอร์ติเน็ตช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากการโจมตีได้ถึง 93%
ผู้นำด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ระบบปฏิบัติการ 3 ปีซ้อน
นิราฟ ชาห์ รองประธานอาวุโส ฝ่ายผลิตภัณฑ์และโซลูชัน ฟอร์ติเน็ต กล่าวว่า “องค์กรต่างๆ ไว้วางใจให้ฟอร์ติเน็ตปกป้องสภาพแวดล้อมของเทคโนโลยีระบบปฏิบัติการ หรือ OT รวมถึงรับรองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของโครงสร้างพื้นฐานด้าน OT ต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี โดยเรานำเสนอแพลตฟอร์มรักษาความปลอดภัยของระบบ OT ที่ครอบคลุมและโดดเด่นไม่เหมือนใคร โดยเป็นการพัฒนาขึ้นเองตั้งแต่เริ่มต้น และให้ความสามารถในการตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามที่ล้ำหน้าที่สุดในอุตสาหกรรม รองรับโครงสร้างพื้นฐานผสานรวมระหว่าง IT และ OT ซึ่งการได้รับการยอมรับล่าสุดจาก Westlands Advisory สะท้อนถึงความไว้วางใจที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากลูกค้า พันธมิตรและชุมชนด้านความปลอดภัยระบบ OT ที่มีต่อฟอร์ติเน็ต”
Westlands Advisory บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำด้านการวิเคราะห์และกลยุทธ์ในอุตสาหกรรมความปลอดภัยระบบปฏิบัติการ หรือ OT ได้จัดอันดับให้ฟอร์ติเน็ตเป็นผู้นำอีกครั้ง จากรายงาน IT/OT Network Protection Platform Navigator 2025 พร้อมได้รับการจัดอันดับสูงสุดในด้านทิศทางกลยุทธ์และขีดความสามารถด้าน IT และ OT โดยเป็นที่ยอมรับใน 3 เหตุผลหลักที่ทำให้ฟอร์ติเน็ตขึ้นเป็นผู้นำในตลาดนี้ถึง 3 ปีซ้อน ได้แก่
- โซลูชันและบริการความปลอดภัยที่ครบวงจร ผสานรวมอย่างเต็มรูปแบบ ให้ประสิทธิภาพสูงสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน IT และ OT ช่วยลดความเสี่ยงด้านไซเบอร์ทั่วทั้งองค์กร โดยเฉพาะ Fortinet OT Security Platform ที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัวในการนำเสนอโซลูชันเครือข่ายและความปลอดภัยไซเบอร์ที่ครอบคลุมที่สุดและลึกที่สุดในตลาด มอบการปกป้องเสมือนเรียลไทม์ด้วย OT Security Service ที่ขับเคลื่อนด้วย AI จาก FortiGuard Labs ซึ่งแพลตฟอร์มนี้มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 20 รายการ ครอบคลุม 3 โซลูชันหลักได้แก่ Secure Networking, Unified SASE และ Security Operations รวมถึงสามารถรองรับเทคโนโลยีจากผู้ให้บริการภายนอก
- นวัตกรรมล้ำสมัยเพื่อแก้ปัญหาด้านความปลอดภัย OT ที่เร่งด่วนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยฟอร์ติเน็ตนำเสนอโซลูชันฮาร์ดแวร์ด้านความปลอดภัยระดับอุตสาหกรรมที่หลากหลายที่สุดในตลาด รวมถึงไฟร์วอลล์ FortiGate Rugged และสวิตช์สำหรับงานอุตสาหกรรม FortiSwitch โดยแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของฟอร์ติเน็ตตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและมาตรฐานอุตสาหกรรมได้อย่างรวดเร็ว จนได้รับรางวัลในระดับอุตสาหกรรมหลายรายการ เช่น Red Dot Product Design Award 2024 จากผลิตภัณฑ์ FortiGate Rugged 70G รางวัล Silver Product of the Year 2024 จาก Control Engineering สำหรับ FortiGate Rugged 70F และรางวัล Gold Product of the Year 2025 สำหรับ FortiGate Rugged 70G-5G-DUAL ทั้งนี้นวัตกรรมด้านความปลอดภัย OT ของฟอร์ติเน็ตได้ขยายไปสู่การใช้ AI และแมชชีนเลิร์นนิง (ML) โดยเน้นที่การตรวจจับภัยคุกคาม การวิเคราะห์ความเสี่ยงและการยกระดับประสิทธิภาพการปฏิบัติการด้านความปลอดภัย
- โซลูชันด้านความปลอดภัย OT ที่ให้ประสิทธิภาพสูง และคุ้มค่ากว่าคู่แข่งในตลาด เทคโนโลยี ASIC ที่ออกแบบโดยเฉพาะของฟอร์ติเน็ตที่ฝังอยู่ในอุปกรณ์ FortiGate มอบประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือด้านความปลอดภัยเครือข่ายที่เหนือชั้น ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสภาพแวดล้อมระบบ OT ที่ต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน และไม่สามารถหยุดชะงักได้ โดยชิป ASIC เหล่านี้ ประกอบด้วยโปรเซสเซอร์สำหรับเครือข่ายและความปลอดภัย ซึ่งถูกผสานรวมเข้ากับระบบปฏิบัติการ FortiOS ทำให้ฟอร์ติเน็ตสามารถส่งมอบโซลูชันที่มีประสิทธิภาพสูง ครอบคลุมและตอบโจทย์ความต้องการของระบบเครือข่ายยุคใหม่ได้อย่างลงตัว
แนวทางที่สอดรับกับแนวโน้มตลาด องค์กรให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของระบบ OT มากขึ้น
นิราฟ ชาห์ ยังกล่าวถึงแนวโน้มและข้อมูลเชิงลึกที่มีผลต่อองค์กรที่ใช้ระบบ OT ว่า “จากรายงานผลสำรวจสถานการณ์ระบบ OT และความปลอดภัยไซเบอร์ประจำปี 2568 ฉบับที่ 7 (2025 State of Operational Technology and Cybersecurity Report) ของฟอร์ติเน็ต ชี้ให้เห็นว่าองค์กรต่างๆ เริ่มให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของระบบ OT มากขึ้น โดยมอบหมายให้ผู้บริหารระดับสูงดูแลความเสี่ยงของระบบ OT มากขึ้น ทำให้เห็นแนวโน้มที่ลดลงของผลกระทบจากการถูกโจมตีในองค์กร โดยทุกฝ่ายตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงลงมา จำเป็นต้องมุ่งมั่นในการปกป้องระบบ OT ที่มีความละเอียดอ่อน พร้อมทั้งจัดสรรทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อรักษาการดำเนินงานที่สำคัญขององค์กร”
โดยรายงานฉบับนี้ทำการสำรวจผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ OT กว่า 550 คนทั่วโลก และดำเนินการสำรวจผ่านบริษัทวิจัยอิสระ ผู้ตอบแบบสอบถามมาจากหลากหลายภูมิภาคทั่วโลก จากอุตสาหกรรมที่ใช้ระบบ OT เช่น การผลิต การขนส่ง/โลจิสติกส์ สุขภาพ/เภสัชกรรม น้ำมัน เคมี ปิโตรเคมี และน้ำ/บำบัดน้ำเสีย โดยมี 3 ประเด็นหลักที่น่าสนใจจากผลสำรวจครั้งนี้ ได้แก่
- ความรับผิดชอบด้านความปลอดภัยของระบบOT ถูกยกระดับถึงผู้บริหารระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันองค์กรมากกว่าครึ่งหรือ 52% ระบุว่า ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายความปลอดภัย (CISO/CSO) ต้องดูแลรับผิดชอบด้านระบบ OT มากขึ้น เพิ่มขึ้นจาก 16% ในปี 2565 ซึ่งหากรวมผู้บริหารระดับสูง (C-suite) ในทุกตำแหน่ง ตัวเลขนี้จะสูงถึง 95% นอกจากนี้ ภายในปี 2568 บรรดาองค์กรที่มีแผนจะโอนงานด้านความปลอดภัยของระบบ OT มาอยู่ภายใต้การดูแลของ CISO ภายใน 12 เดือนข้างหน้า ยังมีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 60% เป็น 80%
2.ความพร้อมด้านความปลอดภัยของระบบ OT มีผลต่อความเสียหายจากการโจมตี โดยองค์กรต่างๆ มีการรายงานถึงความก้าวหน้าเรื่องความพร้อมด้านความปลอดภัยของ OT อย่างเห็นได้ชัดในปีนี้ โดยในระดับพื้นฐานหรือระดับ 1 คือการเริ่มสร้างความสามารถในการมองเห็น และมีการแยกส่วนเครือข่าย มีองค์กรถึง 26% ที่ดำเนินการแล้วในส่วนนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนหน้า และองค์กรส่วนใหญ่ระบุว่าองค์กรตนอยู่ในระดับ 2 ซึ่งเป็นขั้นตอนการควบคุมการเข้าถึงและการจัดทำโปรไฟล์ระบบ ขณะที่ระดับความพร้อมที่สูงกว่า (0-4) โดนโจมตีน้อยลง หรือสามารถจัดการกับการโจมตีที่มีความซับซ้อนไม่มากได้ ส่วนการโจมตีแบบ APT (Advanced Persistent Threats) และมัลแวร์ในระบบ OT นั้นยังคงตรวจจับได้ยาก โดยเฉพาะองค์กรที่มีความพร้อมในระดับต่ำ ที่อาจยังไม่มีโซลูชันหรือระบบที่เพียงพอ แม้ว่าจะมีองค์กรเกือบครึ่งหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตี แต่มีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกรณีการทำงานที่ต้องหยุดชะงักซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ มีอัตราลดลงจาก 52% เหลือ 42%
และ 3.การนำแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านความปลอดภัยไซเบอร์มาใช้ ส่งผลดีต่อองค์กรอย่างชัดเจน การนำแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดมาใช้ เช่น การปฏิบัติตามหลักความมั่นคงทางไซเบอร์ขั้นพื้นฐาน การสร้างการตระหนักรู้ พร้อมฝึกอบรมที่ดีขึ้น ช่วยลดเหตุการณ์เจาะระบบอีเมลในธุรกิจลงได้อย่างชัดเจน อีกแนวทางปฏิบัติที่สำคัญคือการนำข้อมูลข่าวกรองภัยคุกคามมาใช้ ซึ่งมีการใช้เพิ่มขึ้นถึง 49% ตั้งแต่ปี 2567 ที่ผ่านมา และยังพบว่าจำนวนผู้จำหน่ายอุปกรณ์ OT ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันองค์กรจำนวน 78% ใช้บริการผู้จำหน่ายอุปกรณ์ไอทีเพียง 1-4 รายเท่านั้น สะท้อนถึงแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดอีกอย่าง คือการรวมผู้จำหน่ายเข้าด้วยกันให้เหลือน้อยราย
การผสานระบบเครือข่ายและความปลอดภัยเข้าด้วยกันในไซต์งาน OT จากระยะไกล ช่วยเพิ่มความสามารถในการมองเห็นและลดความเสี่ยงทางไซเบอร์ ช่วยให้การเกิดเหตุการณ์ทางไซเบอร์ลดลงถึง 93% เมื่อเทียบกับระบบเครือข่ายแบบไม่มีการแบ่งแยก (Flat Network) โซลูชันของฟอร์ติเน็ตที่เรียบง่าย ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานได้ถึง 7 เท่า ช่วยลดขั้นตอนการตรวจสอบและการตั้งค่า
ฟอร์ติเน็ตแนะ 5 แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดป้องกันโจมตีในระบบ OT
- สร้างการมองเห็นและมาตรควบคุมทดแทนสำหรับอุปกรณ์OT ตรวจสอบและทำความเข้าใจอุปกรณ์ในเครือข่าย OT ทั้งหมดพร้อมเสริมมาตรการป้องกันอุปกรณ์สำคัญที่มีช่องโหว่
- แบ่งโซนการใช้งาน(Segmentation) ลดความเสี่ยงจากการโดนโจมตี ต้องอาศัยสภาพแวดล้อม OT ที่แข็งแกร่ง เริ่มด้วยการจัดโครงสร้างเครือข่ายให้แยกเป็นโซน ตามมาตรฐาน ISA/IEC 62443 และใช้แนวทางการบริหารจัดการแบบรวมศูนย์
- ผสานรวมระบบOT เข้ากับการดำเนินงานด้านความปลอดภัย (SecOps) และวางแผนตอบสนองต่อเหตุการณ์ การมีแนวทางปฏิบัติที่ครอบคลุมระบบ OT ของทั้งองค์กร พร้อมส่งเสริมความร่วมมือของแต่ฝ่ายเพื่อประเมินความเสี่ยงด้านไซเบอร์ และประสานการทำงานระหว่าง IT และ OT ได้อย่างเหมาะสมมีประสิทธิภาพ ทั้งงบประมาณและการจัดสรรบุคลากร
- ใช้สถาปัตยกรรมความปลอดภัยแบบองค์รวมในรูปของแพลตฟอร์มที่รองรับทั้งเครือข่าย IT และสภาพแวดล้อมระบบ OT เพื่อผสานการทำงานร่วมกันและรักษาความปลอดภัยได้อย่างแข็งแกร่ง จัดการได้แบบรวมศูนย์ ช่วยตอบสนองภัยคุกคามได้แบบอัตโนมัติ
- ใช้ข้อมูลข่าวกรองภัยคุกคาม และบริการความปลอดภัยเฉพาะระบบOT เพื่อช่วยให้รับรู้สถานการณ์ภัยคุกคามอย่างทันท่วงที และได้ข้อมูลเชิงลึกจากการวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่ให้ข้อมูลเฉพาะด้าน OT ที่แม่นยำ ช่วยปกป้องได้แบบเกือบจะเรียลไทม์