ตงกว่าน, จีน, 3มกราคมพ.ศ.2567 –เมื่อเรามองไปที่สภาพภูมิทัศน์ของเทคโนโลยีดิจิทัลในปัจจุบันเราจะเห็นความน่าตื่นเต้นจากการที่ได้เห็นว่าโลกได้เชื่อมต่อกันมากยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยีในขณะที่ผู้ที่ยังไม่ได้เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตก็มีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่องจาก2,700ล้านคนในปี2022เหลือเพียงประมาณ2,600ล้านคนในปี2023ซึ่งเป็นความสำเร็จที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนโดยการเชื่อมต่อนี้ได้นำมาซึ่งโอกาสใสการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเจริญที่มากขึ้นซึ่งนอกจากการเชื่อมต่อขั้นพื้นฐานจะมีความสำคัญแก่ทุกคนแล้วเทคโนโลยียังมีบทบาทสำคัญในการช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติได้อีกด้วย
หัวเว่ยหนึ่งในผู้ให้บริการเทคโนโลยีด้านสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ชั้นนำของโลกมุ่งมั่นที่จะสร้างโลกที่เชื่อมต่อกันอย่างเต็มรูปแบบมีความยั่งยืนและชาญฉลาดโดยมีเป้าหมายที่จะเชื่อมต่อผู้คนกว่า120 ล้านคนในพื้นที่ห่างไกลในกว่า80 ประเทศให้สำเร็จภายในปี2025 โดยในปี2022หัวเว่ยได้เข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรดิจิทัล “Partner2Connect Digital Coalition” หรือP2C ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศเพื่อช่วยจัดหาโครงสร้างพื้นฐานด้านICT ให้กับพื้นที่ชนบททั่วโลกเพื่อให้ชุมชนที่ขาดแคลนสามารถเข้าถึงการศึกษาอัจฉริยะการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ทางไกลและบริการด้านดิจิทัลอื่นๆซึ่งจะเป็นรากฐานสำหรับความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจในอนาคต
บนเวทีการสัมนาด้านความยั่งยืนSustainability Forum ครั้งที่ 3 ของหัวเว่ยณเมืองตงกว่านประเทศจีนภายใต้หัวข้อ “เติบโตไปพร้อมกับเทคโนโลยีตระหนักถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน” (Thrive Together with Tech: Realizing Sustainable Development) หัวเว่ยได้รวบรวมผู้บริหารและตัวแทนจากองค์กรต่างๆทั่วโลกอาทิสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศหรือITU และเครือข่ายวิชาการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (UN SDSN) มาร่วมหารือเกี่ยวกับความสำคัญและความสำเร็จในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มการเชื่อมต่อโดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ดร. เหลียงหัวประธานกรรมการบริหารของหัวเว่ยขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในช่วงเปิดงานว่า “โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในยุคใหม่เช่นการเชื่อมต่อและพลังการประมวลผลมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมเทียบเท่ากับโครงสร้างทางกายภาพอย่างท้องถนนโดยโครงสร้างพื้นฐานรูปแบบใหม่นี้จะเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสังคมในภาพรวมโดยการประมวลผลจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในแง่ประสิทธิภาพของการทำงานในเศรษฐกิจดิจิทัลทั้งนี้การเร่งขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผลจะช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลในหลายภาคอุตสาหกรรมและส่งเสริมการผสานระหว่างเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจจริงอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นซึ่งจะนำไปสู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจโลกและการพัฒนาอย่างยั่งยืน”
คุณดอรีนบ็อกแดน-มาร์ตินเลขาธิการสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศได้เน้นย้ำถึงบทบาทของเทคโนโลยีดิจิทัลในการเร่งผลักดันการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ว่า “ในขณะนี้มีเป้าหมายSDGs เพียง 15% เท่านั้นที่น่าจะสำเร็จลุล่วงได้ภายในปี 2030 ซึ่งเทคโนโลยีดิจิทัลจะสามารถช่วยเร่งให้เป้าหมายเหล่านี้สำเร็จตามได้มากถึง 70% หากมีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆมาปรับใช้อย่างเหมาะสมเราไม่ควรจะต้องเลือกระหว่างเทคโนโลยีกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนเราต้องการทั้งสองสิ่งดังนั้นมาเติบโตไปพร้อมกับเทคโนโลยีและร่วมสร้างอนาคตดิจิทัลที่ก้าวหน้าเพื่อประชาชนและโลกของเรากันเถอะ”
คุณดอรีนบ็อกแดน–มาร์ตินเลขาธิการสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศกล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน
คุณเจฟฟ์หวังประธานฝ่ายกิจการสาธารณะและสื่อสารของหัวเว่ยได้กล่าวว่า “หัวเว่ยมีความภูมิใจที่ได้เป็นพันธมิตรกับITU ในโครงการสำคัญนี้รวมถึงการได้เห็นคนรุ่นใหม่ที่มีวิสัยทัศน์ร่วมมือกันในการสร้างความเท่าเทียมทางด้านดิจิทัลทั่วโลกโดยผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับการสนับสนุนรวมถึงเงินทุนสำหรับโครงการต่างๆได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญจากITU และหัวเว่ยรวมถึงโอกาสในการทำกิจกรรมต่างๆร่วมกันด้วย”
ดร. คอสมาสลัคกีซันซาวาซาว่าผู้อำนวยการสำนักพัฒนาโทรคมนาคมของITU กล่าวว่า “ด้วยความร่วมมือระหว่างITU และหัวเว่ยเยาวชนจะได้เรียนรู้และได้มีส่วนร่วมเป็นผู้นำในโลกดิจิทัลโดยเทคโนโลยีดิจิทัลถือเป็นความรู้เบื้องต้นที่จะช่วยเร่งรัดการบรรลุเป้าหมายด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) เราต้องการให้เยาวชนช่วยกันผลักดันอีโคซิสเต็มด้านดิจิทัลที่กำลังพัฒนาอยู่ทั่วโลกและสร้างความเปลี่ยนแปลงผมขอขอบคุณหัวเว่ยสำหรับความร่วมมืออันยิ่งใหญ่ครั้งนี้และผมหวังว่าจะได้เห็นผลกระทบในระดับโลกจากโครงการที่มีนวัตกรรมนี้”
กลุ่มพันธมิตรP2C ที่ริเริ่มก่อตั้งโดยITU มุ่งส่งเสริมการเชื่อมต่ออย่างมีคุณค่าและการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัลในระดับโลกโดยให้ความสำคัญกับชุมชนห่างไกลในประเทศและภูมิภาคที่ขาดการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลทั้งนี้หัวเว่ยได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือระดับโลกเมื่อปีที่แล้วโดยตั้งเป้าหมายที่จะเชื่อมต่อผู้คนประมาณ 120 ล้านคนในพื้นที่ห่างไกลในกว่า 80 ประเทศให้สำเร็จภายในปี 2025 จนถึงขณะนี้หัวเว่ยได้จัดการฝึกอบรมไปแล้ว 2,066 ครั้งในประเทศกัมพูชาซึ่งเป็นประเทศที่เป็นพันธมิตรP2C รายแรกของITU โดยได้เข้าไปร่วมมือกับกระทรวงต่างๆและมหาวิทยาลัยในพื้นที่
ในประเทศไทยหัวเว่ยมุ่งมั่นในการสร้างสังคมดิจิทัลที่มีความเท่าเทียมในระดับท้องถิ่นดังจะเห็นได้ชัดจากโครงการ “รถดิจิทัลเพื่อสังคม” (Digital Bus) ซึ่งริเริ่มขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2021 เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลด้วยการช่วยฝึกอบรมทักษะดิจิทัลให้ฟรีในรูปแบบที่เหมาะสมกับผู้คนท้องถิ่นใน 10 จังหวัดในชุมชนห่างไกล 40 แห่งครอบคลุมกลุ่มเด็กในชนบทกลุ่มแรงงานและกลุ่มเอสเอ็มอีกว่า 3,000 คนโดยในโครงการนี้หัวเว่ยได้เข้าไปช่วยพัฒนาทักษะดิจิทัลและการศึกษาด้านSTEM สร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่มีความเท่าเทียมมากยิ่งขึ้นนอกจากนี้หัวเว่ยยังได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในโครงการUSO 2.0 เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชนบททั้งนี้หัวเว่ยยังคงมุ่งมั่นในการส่งเสริมพันธกิจ “เติบโตพร้อมกับประเทศไทยร่วมสนับสนุนประเทศไทย” (Grow in Thailand, Contribute to Thailand) และ “นำทุกคนไปข้างหน้าโดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง” (Lead Everyone Forward, Leave No One Behind) โดยมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลและการนำเทคโนโลยีสีเขียวมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย