กรุงเทพฯ ประเทศไทย,22 มีนาคม2566- มาเซราติประเทศไทยเผยโฉมซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ล่าสุดเอ็มซี20 เชียโล (MC20 Cielo) ที่มาพร้อมกับขุมพลังNettuno V6 เต็มสูบเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกณ งานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนลมอเตอร์โชว์ครั้งที่44 (บูธ A5) อิมแพ็คชาเลนเจอร์ฮอลล์2-3เมืองทองธานี ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่22 มีนาคม – 2 เมษายน2566 นอกจากเอ็มซี20 เชียโลแล้วมาเซราติ ประเทศไทยยังได้นำยนตรกรรมจากค่ายตรีศูลอย่าง มาเซราติเกรคาเล่,มาเซราติเลอวานเต้ไฮบริด,มาเซราติกิบลี่ไฮบริดและมาเซราติควอตโตรปอร์เต้มาจัดแสดงที่งานอีกด้วย
มร ทาคายูกิ คิมูระกรรมการผู้จัดการมาเซราติภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกล่าวว่า “มาเซราติเอ็มซี20 เชียโลเป็นผลงานอันโดดเด่นด้านวิศวกรรมของอิตาลีในวงการมอเตอร์สปอร์ตที่ครบครันทั้งความหรูหราความปราดเปรียวและสมรรถนะอันเหนือชั้นที่ให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสถึงความเป็นซูเปอร์คาร์สุดหรูในทุกแง่มุมเอ็มซี20เชียโลถูกสร้างขึ้นด้วยแนวคิด‘Beyond the Sky’ด้วยหลังคากระจกพับเก็บได้ในเวลา 12 วินาทีและอัตราเร่ง0-100กม./ชม. ในเวลาไม่ถึง3 วินาทีพร้อมสร้างประสบการณ์ใหม่แห่งการขับขี่”
นายปิยะเทพศิวากาศผู้จัดการทั่วไปมาเซราติประเทศไทยเปิดเผยว่า“การเลือกเปิดตัวซูเปอร์คาร์เอ็มซี20 เชียโลในประเทศไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของตลาดมาเซราติในประเทศไทยโดยภายในงานยังได้จัดแสดงมาเซราติรุ่นอื่นอีก4 รุ่นได้แก่มาเซราติ เกรคาเล่, มาเซราติเลอวานเต้ไฮบริด,มาเซราติกิบลี่ไฮบริดและมาเซราติ ควอตโตรปอร์เต้พร้อมความเชื่อมั่นว่ายนตรกรรมมาเซราติ ทุกรุ่นจะสามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าชาวไทยได้อย่างดีเยี่ยม”
มาเซราติเอ็มซี20เชียโล
เอ็มซี20 เชียโลมาพร้อมกับเครื่องยนต์NettunoV6 เช่นเดียวกับมาเซราติเอ็มซี20 ที่เปิดตัวไปในปี2563 โดยเอ็มซี20 เชียโลเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวของความปราดเปรียวความหรูหราและความโดดเด่นด้านนวัตกรรม ด้วยหลังคากระจกแบบSmart Glass
เอ็มซี20 เชียโลพร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่แตกต่างด้วยแบบหลังคาโปร่งแสง และแบบเปิดประทุนให้ความรู้สึกเสมือนการ ‘ท่องไปบนท้องฟ้า’อย่างไร้ขีดจำกัด
ยนตรกรรมรุ่นใหม่นี้ยังมาพร้อมกับกระจกชนิดพิเศษแบบElectrochromic พร้อมฉนวนกันความร้อนสามารถปรับลด-เพิ่มความเข้มหรือสั่งให้กระจกโปรงแสงด้วยเทคโนโลยี Polymer-Dispersed Liquid Crystal (PDLC)โดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยประตูรถเปิด-ปิดแบบปีกผีเสื้อพร้อมโครงสร้างตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแรง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกันกับรถจากสนามแข่ง
เอ็มซี20 เชียโลยังติดตั้งระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ (Active Safety Systems) ที่ทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์ถอยจอดกล้องมองหลังและระบบเตือนจุดอับสายตาเช่นเดียวกับเอ็มซี20 แต่เพิ่มระบบลดความเร็วอัตโนมัติในกรณีฉุกเฉินระบบจดจำป้ายจราจรและอุปกรณ์เสริมอย่างกล้องมองภาพ360 องศาแบบใหม่เพื่อช่วยให้การจอดรถมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
มาเซราติเกรคาเล่
มาเซราติเกรคาเล่ SUV เป็นความสมดุลระหว่างความสปอร์ตและความสง่างามที่แท้จริง ด้วยแนวคิดด้านนวัตกรรมผสานกับความอเนกประสงค์และความหรูหราเอาไว้ในคันเดียวและเป็นรุ่นที่ดีที่สุดในแง่ของความกว้างขวางและความสะดวกสบาย
มาเซราติเกรคาเล่มีจำหน่ายในประเทศไทย2 รุ่นได้แก่ GT เครื่องยนต์4 สูบที่เสริมกำลังด้วยระบบMild Hybrid กำลังสูงสุด300 แรงม้าและรุ่นTrofeoพร้อมเครื่องยนต์NettunoV6 ขนาด3.0ลิตรกำลังสูงสุด530 แรงม้าแบบเดียวกับที่ใช้ในเอ็มซี20
มาเซราติกิบลี่ไฮบริด
มาเซราติกิบลี่ไฮบริดรถยนต์เทคโนโลยีไฮบริดรุ่นแรกของมาเซราติที่ผสานการขับเคลื่อนระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าคิดค้นโดยทีมวิศวกรและฝ่ายเทคนิคของมาเซราติ Innovation Lab ที่เมืองโมเดนาประเทศอิตาลี ด้วยเครื่องยนต์4 สูบอัลเทอเนเตอร์48 โวลต์และอิเล็กทรอนิกส์ซูเปอร์ชาร์จ (e-Booster) แบตเตอรี่รองรับมีกำลังสูงถึง330 แรงม้าซูเปอร์คาร์รุ่นนี้คือความสมบูรณ์แบบของสมรรถนะประสิทธิภาพและความเพลิดเพลินในการขับขี่
มาเซราติเลอวานเต้ไฮบริด
มาเซราติเลอวานเต้ไฮบริดเป็นรถ SUV รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของค่ายตรีศูลขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์4 สูบผสานกับ e-Booster และแบตเตอรี่รองรับที่มีกำลังสูงถึง330 แรงม้า
มาเซราติเลอวานเต้ไฮบริด เป็นนวัตกรรมที่คิดค้นขึ้นตามปรัชญาแห่งการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้าโดยมุ่งไปที่การปรับปรุงสมรรถนะและความคุ้มค่าควบคู่ไปกับสุนทรียภาพแห่งการขับขี่และความหรูหราที่ยังคงเอกลักษณ์ของมาเซราติ
มาเซราติควอตโตรปอร์เต้
มาเซราติควอตโตรปอร์เต้เป็นหนึ่งในรถซีดานหรูที่มีสมรรถนะดีสุดในโลกโดดเด่นด้วยเทคโนโลยีจากสนามแข่งแต่ยังคงความสะดวกสบายครบคันพร้อมดีไซน์ที่โดดเด่นสไตล์อิตาเลียนจึงเป็นรถซีดานหรูที่ผสานสมรรถนะความคุ้มค่าและสุนทรียภาพในการขับขี่ได้อย่างลงตัว
มาเซราติประเทศไทยพร้อมจัดแสดงสุดยอดนวัตกรรมยานยนต์ทุกรุ่นที่งานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนลมอเตอร์โชว์ครั้งที่44 (บูธ A5) อิมแพ็คชาเลนเจอร์ฮอลล์2-3เมืองทองธานีตั้งแต่วันที่22 มีนาคม – 2 เมษายน2566
